บทความ

ฟ้องเรียกบุตรคืน

ฟ้องเรียกบุตรคืน

การฟ้องเรียกบุตรคืน (คดีครอบครัว) เมื่อต้องสู้เพื่อสิทธิเลี้ยงดูลูก
ปัญหาพ่อแม่เลิกรากันโดยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แล้วฝ่ายหนึ่งนำบุตรไปดูแลและไม่ยอมให้อีกฝ่ายพบเจอ เป็นปัญหาที่พบบ่อยในสังคมไทย และสร้างความทุกข์ใจให้แก่ผู้เป็นพ่อหรือแม่ที่ถูกพรากจากลูกอย่างมาก โดยเฉพาะฝ่ายมารดาซึ่งตามกฎหมายมีสิทธิเต็มที่ในการปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว บทความนี้จะสรุปทุกประเด็นสำคัญที่ต้องรู้ในการฟ้องเรียกบุตรกลับคืนจากบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

1. ความสำคัญของสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร
บุตรถือเป็นสิทธิและหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของบิดามารดา ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องความรัก ความผูกพันในครอบครัว แต่ยังเป็นสิทธิที่กฎหมายคุ้มครองโดยตรง หากมีการนำบุตรไปเลี้ยงดูโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้มีอำนาจปกครอง ผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถใช้สิทธิฟ้องต่อศาลได้ เพื่อปกป้องประโยชน์สูงสุดของเด็ก

2. สถานะบิดา–มารดา และอำนาจปกครองบุตร
2.1 กรณี บิดา–มารดา จดทะเบียนสมรส
เมื่อพ่อแม่จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ทั้งสองคนจะมี “อำนาจปกครองบุตรร่วมกัน” โดยอัตโนมัติ หมายความว่าทั้งพ่อและแม่มีสิทธิและหน้าที่ในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ของลูกร่วมกัน เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล หรือการเดินทางไปต่างประเทศ หากต่อมาหย่าร้างกัน ก็สามารถตกลงกันได้ว่าจะให้ใครเป็นผู้มีอำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว หรือจะยังคงมีอำนาจปกครองร่วมกันต่อไป หากตกลงกันไม่ได้ ศาลจะเป็นผู้ชี้ขาดโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นสำคัญ

2.2 กรณี บิดา–มารดา ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
นี่คือกรณีที่พบบ่อยและเป็นที่มาของการฟ้องเป็นคดีต่อศาลเพื่อสิทธิเลี้ยงดูบุตรจำนวนมาก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า: “เด็กที่เกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น” พูดง่าย ๆ คือ หากไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน “แม่” จะเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวโดยอัตโนมัติ ส่วน “พ่อ” แม้จะเป็นผู้ให้กำเนิดและให้ใช้นามสกุล แต่ในทางกฎหมายจะยังไม่มีสิทธิใดๆ ในตัวบุตร และถือเป็น “บุคคลอื่น”

ทำอย่างไรให้ “พ่อ” มีสิทธิในตัวลูก ?
บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะกลายเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิในตัวบุตรได้ มีเพียง 3 วิธีเท่านั้น:
1. จดทะเบียนสมรสกับมารดา : เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและทำให้มีอำนาจปกครองร่วมกันทันที
2. จดทะเบียนรับรองบุตร: บิดาสามารถไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ แต่วิธีนี้ ต้องได้รับความยินยอมจากมารดาและตัวเด็ก (หากเด็กโตพอที่จะให้ความยินยอมได้)
3. ยื่นคำร้องต่อศาล: หากมารดาไม่ยินยอมให้จดทะเบียนรับรองบุตร บิดาสามารถยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตนได้ ซึ่งศาลจะพิจารณาจากหลักฐานความเป็นพ่อลูก (เช่น การตรวจ DNA , ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตร และประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ) มารดาอาจต่อสู้คดีได้หากเห็นว่าการให้บิดารับรองบุตรไม่เป็นประโยชน์แก่เด็ก

3. สิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครองมีอะไรบ้าง ?
ผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ มีสิทธิสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตและชีวิตของบุตร ดังนี้
– สิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร : เลือกว่าจะให้ลูกอาศัยอยู่ที่ไหน กับใคร
– สิทธิในการให้การศึกษา : ตัดสินใจเลือกโรงเรียนและแนวทางการศึกษา
– สิทธิในการรักษาพยาบาล : ให้ความยินยอมในการรักษาเมื่อเจ็บป่วย
– สิทธิในการจัดการทรัพย์สินของบุตร : ดูแลทรัพย์สินที่บุตรได้รับมาจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
– สิทธิในการเรียกบุตรคืน : คือสิทธิในการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นที่นำลูกไปโดยไม่มีอำนาจ

4. เงื่อนไขการฟ้องเรียกบุตรกลับคืน
เงื่อนไขสำคัญในการฟ้องเรียกบุตรกลับคืน คือ “การโต้แย้งสิทธิ” ซึ่งหมายถึงการที่มีบุคคลอื่น (ซึ่งรวมถึงบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปู่ย่า หรือ ญาติ และคนอื่นๆ ด้วย) ได้นำบุตรไปจากความดูแลของผู้มีอำนาจปกครอง และเมื่อถูกทวงถามแล้ว ปฏิเสธที่จะส่งคืน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้มีอำนาจปกครอง และเป็นเหตุให้สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้ทันที
– ผู้ฟ้องต้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมาย (เช่น มารดาในกรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรส)
– จำเลยต้องเป็นบุคคลที่กักบุตรไว้โดยมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นบิดา ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ บุคคลภายนอก
– ต้องพิสูจน์ได้ว่าเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะและอยู่ในอำนาจปกครองของผู้ฟ้อง

5. หลักเกณฑ์ที่ศาลพิจารณา
หัวใจสำคัญที่สุดที่ศาลจะใช้ในการพิจารณาคดีครอบครัวทุกประเภทคือ “ประโยชน์และความผาสุกสูงสุดของเด็ก” (The Best Interest of the Child) ศาลจะมองผ่านมุมของเด็ก ไม่ใช่มุมของพ่อแม่ที่ทะเลาะกัน โดยจะพิจารณาองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น:
– ความสามารถในการดูแล : ฐานะทางการเงิน อาชีพ และเวลาที่สามารถให้ลูกได้
– สภาพแวดล้อม : ที่อยู่อาศัย สภาพความเป็นอยู่ สังคมรอบข้างเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กหรือไม่
– ความรักความผูกพัน : เด็กมีความผูกพันกับใครมากกว่ากัน
– ความประพฤติของผู้ปกครอง : มีพฤติกรรมดีงาม เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหรือไม่ มีประวัติอาชญากรรมหรือยาเสพติดหรือไม่
– ความสมัครใจของเด็ก : หากเด็กโตพอที่จะถามความสมัครใจได้ ศาลอาจจะสอบถามความเห็นของเด็กประกอบการพิจารณา

6. ตัวอย่างคดีหรือคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง
กรณีมารดา : คำพิพากษาฎีกาที่ 16395/2557
ผู้เยาว์เป็นบุตรเกิดจากโจทก์ซึ่งเป็นหญิงที่มิได้สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1546 ให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ส่วนจำเลยที่ 1 แม้อ้างว่าเป็นบิดาของผู้เยาว์ แต่เมื่อผู้เยาว์มิได้เกิดจากบิดามารดาที่สมรสกัน การจะอ้างว่าผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายก็ต่อเมื่อบิดามารดาสมรสกัน หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้มีลักษณะที่ปรากฏตามความดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงหามีสิทธิใดๆในตัวผู้เยาว์ไม่ ทั้งนี้ตามป.พ.พ. มาตรา 1547 ดังนั้น โจทก์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียวผู้เดียว เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองดูแลเลี้ยงดูผู้เยาว์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองคืนผู้เยาว์แก่โจทก์ได้ ตามป.พ.พ. มาตรา 1567(1)และ(4) ที่โจทก์เป็นผู้กำหนดที่อยู่ของบุตร และเรียกคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบได้ ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองที่ว่าดูแลผู้เยาว์ดีกว่าโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ เพราะจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิใดๆในตัวผู้เยาว์ไม่อาจอ้างเหตุเหนือสิทธิของโจทก์ผู้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ได้

7. สิทธิของบิดาและญาติฝ่ายบิดา
แม้บิดาจะยังไม่เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นแล้วแต่ไม่ได้อำนาจปกครอง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดสิทธิ์ในตัวลูกไปเลย กฎหมายยังให้ความสำคัญกับสายใยในครอบครัว โดยศาลสามารถกำหนด “สิทธิในการเยี่ยมเยียนบุตร” (Visitation Rights) ได้ตามความเหมาะสม เช่น ให้มาพบเจอได้ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือในช่วงปิดเทอม ซึ่งสิทธินี้อาจรวมถึงปู่ย่าและญาติฝ่ายบิดาด้วย

8. ขั้นตอนการฟ้องร้องและการขอคุ้มครองชั่วคราว
8.1 รวบรวมหลักฐาน : เตรียมเอกสารสำคัญ เช่น สูติบัตรของบุตร ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน หลักฐานที่แสดงว่าเราเป็นผู้ดูแลบุตรมาตลอด (เช่น รูปถ่าย ใบเสร็จค่าเทอม) และหลักฐานการสนทนาที่แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ยอมคืนบุตร
8.2 ปรึกษาทนายความ : คดีครอบครัวมีความละเอียดอ่อน ควรปรึกษาสำนักงานทนายความผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการดำเนินคดี
8.3 ยื่นคำฟ้อง : ทนายความจะร่างคำฟ้องและยื่นต่อศาลเยาวชนและครอบครัวที่มีเขตอำนาจ
8.4 ให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน : กรณีฟ้องเรียกบุตรคืน หรือ คดีครอบครัวที่เกี่ยวกับเด็ก (เช่น ฟ้องหย่า, ขออำนาจปกครองบุตร) บิดา , มารดา , บุตร , หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดี จะต้องไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนภายใน 15 วัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อศาลประกอบการพิจารณา ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 เพื่อให้การพิจารณาคดีคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ
เตรียมเอกสาร เช่น ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน สูติบัตรของบุตร กรณีบิดา – มารดาเปลี่ยนชื่อหรือบุตรเปลี่ยนชื่อต้องเตรียมใบเปลี่ยนชื่อสกุลไปด้วย.
8.5 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว : นี่คือขั้นตอนที่สำคัญมาก ! ในระหว่างที่คดีกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน เราสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่ง “คุ้มครองชั่วคราว” โดยสั่งให้อีกฝ่ายนำบุตรมาคืนเราก่อนได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กต้องอยู่ห่างจากผู้ปกครองที่แท้จริงเป็นเวลานานเกินไป (แต่ความเป็นจริงแล้วค่อนข้างจะยาก ถ้าง่ายคงไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใช่มั้ย…)
8.6 กระบวนการในศาล : ศาลจะนัดไกล่เกลี่ยก่อน หากตกลงกันไม่ได้ก็จะเข้าสู่กระบวนการสืบพยานและมีคำพิพากษาต่อไป

9. ผลของคำพิพากษา
เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว คำสั่งของศาลถือเป็นที่สุด หากฝ่ายที่แพ้คดีไม่ปฏิบัติตาม (เช่น ไม่ยอมส่งคืนบุตร) ฝ่ายที่ชนะคดีสามารถร้องขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้

10. การที่ร้องขอจากบิดาแล่วแต่ไม่ยอมส่งคืนบุตร ถือเป็นคดีอาญาฐาน “พรากผู้เยาว์” หรือไม่ ?
หลายคนอาจสงสัยสอบถามทนายว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ คำตอบ คือ โดยทั่วไปแล้ว “อาจจะไม่” ศาลฎีกาเคยวางแนวทางไว้ว่า หากบิดาโดยสายเลือดนำบุตรไปเลี้ยงดูด้วยเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาเพื่อการอนาจารหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ การกระทำนั้น ไม่ถือเป็นความผิดอาญาฐานพรากผู้เยาว์ แม้จะเป็นการละเมิดสิทธิในทางแพ่งของมารดาก็ตาม ดังนั้น การใช้สิทธิทางศาลแพ่งฟ้องเรียกบุตรคืนจึงเป็นช่องทางที่ถูกต้องและตรงจุดที่สุด

สรุป
การฟ้องร้องเรียกสิทธิเลี้ยงดูบุตรคืน เป็นสิทธิทางกฎหมายที่ใช้เพื่อคุ้มครองบุตรให้กลับคืนมาอยู่กับผู้มีอำนาจปกครองตามกฎหมาย ศาลจะพิจารณาบนหลัก “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” เป็นสำคัญ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือมารดา หากประสงค์จะใช้สิทธิในทางกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านคดีครอบครัว เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็วที่สุด

ติดต่อ ทนายความ เพื่อฟ้องคดี ต่อสู้คดี ทั่วราชอาณาจักร

ฟ้องเรียกบุตรคืน

ฟ้องเรียกบุตรคืน

ฟ้องเรียกบุตรคืน